วงจรการ นอนหลับ 3 ระยะ
การ นอนหลับ ของคนเราไม่ใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นแบบเดียวตลอดทั้งคืน แต่มีการแบ่งเป็น “ระยะของการหลับ” ซึ่งสลับกันไปมาหลายรอบในหนึ่งคืน โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะสำคัญ ดังนี้
1. ระยะหลับตื้น (Light Sleep)
- เป็นช่วงเริ่มต้นของการนอน
- ร่างกายจะเริ่มผ่อนคลาย อัตราชีพจรและการหายใจช้าลง
- ยังตื่นง่าย เสียงหรือแสงรบกวนเพียงเล็กน้อยก็สามารถปลุกให้ตื่นได้
- มีบทบาทในการเปลี่ยนผ่านจากความตื่นตัวสู่ภาวะพักผ่อนที่ลึกขึ้น
2. ระยะหลับลึก (Deep Sleep หรือ Slow-wave Sleep)
- เป็นช่วงที่ร่างกายพักผ่อนได้อย่างแท้จริง
- คลื่นสมองจะช้าลง ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และหลั่งโกรทฮอร์โมน
- หากตื่นจากช่วงนี้จะรู้สึกมึน งัวเงีย เพราะสมองยังอยู่ในโหมดพัก
- เด็ก ๆ และวัยรุ่นมักมีระยะหลับลึกนานกว่าผู้ใหญ่
3. ระยะหลับฝัน (REM Sleep: Rapid Eye Movement)
- เป็นช่วงที่มีการกลอกตาไปมาอย่างรวดเร็ว
- สมองจะกลับมาทำงานใกล้เคียงกับตอนตื่น กล้ามเนื้อส่วนใหญ่จะอยู่ในภาวะอัมพาตชั่วคราว จึงมักจะเกิดการฝัน
- เป็นช่วงที่มักเกิดความฝัน และสมองใช้จัดระเบียบความจำและอารมณ์
- มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และสุขภาพจิตใจ
ในแต่ละคืน ร่างกายจะหมุนเวียนผ่านทั้ง 3 ระยะนี้เป็นรอบ ๆ (เรียกว่า “sleep cycle”) ประมาณ 4–6 รอบ โดยรอบแรกจะใช้เวลาสั้น และในรอบถัดไปจะมีระยะ REM ยาวขึ้นเรื่อย ๆ
หากร่างกายผ่านแต่ละระยะได้ครบถ้วนโดยไม่ถูกขัดจังหวะ ตื่นมาจะความรู้สึกสดชื่น สมองปลอดโปร่ง และมีพลังเต็มร้อย

นอนหลับอย่างไรให้ได้คุณภาพดี?
นอนครบ 8 ชั่วโมง แต่ทำไมยังรู้สึกเพลีย? นั่นเพราะ “ชั่วโมงการนอน” ไม่ได้การันตีว่าเราจะนอนหลับอย่างมีคุณภาพ หากคุณมีปัญหาการนอน นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท หรือสะดุ้งตื่นบ่อย ลองปรับพฤติกรรมง่าย ๆ 10 วิธีนี้ก่อนนอน อาจช่วยให้คุณหลับลึก หลับสบาย และตื่นมาสดชื่นกว่าเดิม
- สร้างบรรยากาศในห้องให้น่านอน : ห้องนอนที่เหมาะสมกับการนอนหลับดี ควรเงียบ มืด อากาศเย็นพอดี และปลอดแสงรบกวนจากหน้าจอหรือไฟจ้า ๆ อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 24–26 องศาเซลเซียส จะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย พร้อมเข้าสู่โหมดพักผ่อนได้ดียิ่งขึ้น
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักก่อนนอน : แม้การออกกำลังกายจะดีต่อสุขภาพ แต่หากออกช่วงใกล้เวลานอนเกินไป จะทำให้ร่างกายตื่นตัว หัวใจเต้นเร็วขึ้น ส่งผลให้นอนหลับยาก โดยควรเว้นระยะอย่างน้อย 2–3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
- ไม่เล่นโทรศัพท์หรือทำงานก่อนนอน : แสงสีฟ้าจากหน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์มีผลต่อการหลั่ง “เมลาโทนิน” ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เรารู้สึกง่วง ควรงดใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน 1–2 ชั่วโมง เพื่อให้สมองเข้าสู่โหมดพักผ่อนได้เต็มที่
- แช่น้ำอุ่น : การแช่น้ำอุ่นประมาณ 10–15 นาที ก่อนนอนจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลดความเครียด และกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่รู้สึกเพลียแต่หลับยาก
- ใช้กลิ่นหอมช่วยบำบัด : กลิ่นอโรม่า เช่น ลาเวนเดอร์ หรือคาโมมายล์ มีคุณสมบัติช่วยให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย สามารถใช้ผ่านการหยดน้ำมันหอมระเหยในห้อง หรือฉีดพ่นที่หมอนเบา ๆ ก็ได้ผลดีเช่นกัน
- หลีกเลี่ยงคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และบุหรี่ก่อนนอน : เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม รวมถึงแอลกอฮอล์และบุหรี่ ล้วนกระตุ้นระบบประสาท ทำให้หลับยาก ดังนั้นจึงควรงดก่อนนอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
- เข้านอนให้เป็นเวลา : การนอนหลับในช่วงเวลาเดิมทุกวันจะช่วยปรับนาฬิกาชีวิต (circadian rhythm) ให้สมดุล เวลาที่เหมาะสมในการเข้านอนอยู่ระหว่าง 22.00-23.00 น. และพยายามตื่นในเวลาใกล้เคียงกันทุกวัน รวมทั้งในวันหยุดด้วย
- ฝึกหายใจหรือทำสมาธิก่อนนอน : หากรู้สึกเครียดก่อนนอน ลองฝึกหายใจลึก ๆ อย่างช้า ๆ หรือทำสมาธิประมาณ 5–10 นาที จะช่วยให้จิตใจนิ่ง สมองปลอดโปร่ง ทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
- งีบระหว่างวันให้พอดี : หากง่วงช่วงกลางวัน อาจงีบได้ แต่ไม่ควรเกิน 20–30 นาที เพื่อเติมพลังให้สมอง แต่อย่าให้นานเกินไป หรืองีบใกล้เวลานอน เพราะอาจรบกวนการนอนตอนช่วงกลางคืนได้
- จัดการความเครียดก่อนนอน : ความเครียดสะสมส่งผลต่อคุณภาพการนอนอย่างมาก ลองเขียนบันทึกสั้น ๆ ก่อนนอน พูดคุยกับคนในครอบครัว
อันตรายจากโรคนอนไม่หลับ
การนอนไม่หลับเรื้อรังไม่ได้ส่งผลแค่ความง่วงหรืองัวเงียเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ อาจทำให้เกิดโรคหรือความผิดปกติต่าง ๆ ได้ เช่น
- เสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ หอบหืด หรือโรคติดเชื้อต่าง ๆ
- เพิ่มโอกาสการเกิดความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจ
- ระบบภูมิคุ้มกันทำงานแย่ลง ร่างกายอ่อนแอ ทำให้ติดเชื้อง่ายขึ้น หรือฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยช้าลง
- ระบบเผาผลาญแปรปรวน เสี่ยงต่อโรคอ้วน เบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง
- เพิ่มฮอร์โมนความเครียด และทำให้สมดุลของฮอร์โมนที่ควบคุมความหิว-อิ่ม ผิดปกติ
- อาจทำให้มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ท้องผูกหรือท้องเสียบ่อย
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย




