โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis) เป็นโรคข้ออักเสบที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายข้อตัวเอง (autoimmune disease) มีการอักเสบของร่างกายร่วมกับการอักเสบเรื้อรังของเยื่อหุ้มข้อ การอักเสบนี้ก่อให้เกิดการทำลายของกระดูกอ่อน กระดูกรอบข้อ และเนื้อเยื่อรอบข้อ เช่น ถุงน้ำและเส้นเอ็นกล้ามเนื้อ ภาวะอักเสบนี้ทำให้เยื่อบุภายในข้อหนาตัว กระดูกพรุน ข้อยึดติดผิดรูปและพิการได้ นอกจากนี้ยังมีอาการเกี่ยวข้องกับระบบอื่นๆ ในร่างกายได้อีก เช่น ตา เส้นประสาท หรือกล้ามเนื้อ โดยโรครูมาตอยด์ในประเทศไทยพบอัตราเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายโดยมีอัตราส่วนประมาณ 3:1 และช่วงอายุที่พบบ่อยคือ ช่วงอายุ 20-50 ปี
สาเหตุของ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายตัวเอง โดยจะทำลายเยื่อหุ้มข้อ (Synovium) จนทำให้เกิดการอักเสบและบวมตามข้อ ส่งผลให้กระดูกอ่อนและกระดูกตามบริเวณข้อต่อ รวมไปถึงเส้นเอ็นที่ยึดกล้ามเนื้อและกระดูก เปราะบางลงและยืดขยายออก ทำให้ข้อต่อมีรูปร่างผิดปกติ และบิดเบี้ยว นอกจากอาการทางข้อแล้ว รูมาตอยด์ยังมีอาการที่บริเวณอื่น ๆ เช่น ข้อมือ หัวไหล่ เข่า
- พันธุกรรม เช่น ยีน HLA-DR4
- สิ่งแวดล้อม: เช่น การติดเชื้อบางชนิด หรือการสูบบุหรี่
- ปัจจัยทางฮอร์โมนเพศ ผู้หญิงมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชายถึง 2–3 เท่า
ปัจจุบันเชื่อว่า การเกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ จำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการ คือ ผู้ป่วยมีปัจจัยทางพันธุกรรมซึ่งเอื้อต่อการเกิดโรค และได้รับการกระตุ้นด้วยปัจจัยต่างๆ
ปัจจัยกระตุ้นให้เกิด โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- อายุ : สามารถเกิดได้กับทุกวัย พบได้ทั้งในวัยหนุ่มสาว และวัยสูงอายุ มักพบผู้ป่วยในช่วงอายุ 40 – 60 ปี
- เพศ : ผู้หญิงมีโอกาสเป็นสูงกว่าผู้ชาย 3 เท่า
- พันธุกรรม: หากคนในครอบครัวเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ความเสี่ยงจะสูงขึ้น
- โรคอ้วน :ผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานหรือเป็นโรคอ้วน มีโอกาสเป็นโรครูมาตอยส์สูงขึ้น
- การสูบบุหรี่ :เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรครูมาตอยด์ เเละเพิ่มความรุนแรงของโรคให้ร้ายแรงกว่าเดิม
- ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม การได้รับสารเคมีบางอย่าง สามารถทำให้เป็นโรครูมาตอยด์ได้ เช่น ใยหิน และซิลิกา
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ มีระยะอะไรบ้าง?
ระยะของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มี 4 ระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 1:ในระยะเริ่มต้นของโรครูมาตอยส์(Reumatoid Factor)จะมีการอักเสบในเนื้อเยื่อรอบข้อ อาจจะมีอาการปวดข้อและะข้อตึง หากทำเอ็กซ์เรย์ จะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำลายกระดูกของคุณ
- ระยะที่ 2:การอักเสบเริ่มทำลายกระดูกอ่อนในข้อต่อ อาจสังเกตเห็นอาการตึงและเคลื่อนไหวได้น้อยลง
- ระยะที่ 3:การอักเสบรุนแรงมากจนทำลายกระดูก และจะมีอาการปวดมากขึ้น ตึงมากขึ้น และเคลื่อนไหวร่างกายได้น้อยลงกว่าในระยะที่ 2 ซึ่งอาจเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
- ระยะที่ 4:ในระยะนี้ การอักเสบจะหยุดลง แต่ข้อต่อจะแย่ลงเรื่อยๆ และจะมีอาการปวดอย่างรุนแรง บวม แข็ง และสูญเสียการเคลื่อนไหว
อาจใช้เวลาหลายปีกว่าจะผ่านทุกระยะ และบางคนก็ไม่สามารถผ่านทุกระยะได้

อาการของ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- อาการที่สำคัญ ได้แก่ ข้ออักเสบจำนวนหลายข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ข้อมือและข้อนิ้วมือ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อตลอดเวลาไม่ว่าจะใช้ข้อทำงานหรือไม่ก็ตาม และมีอาการข้อฝืดขัดหลังการตื่นนอนตอนเช้า
- มีอาการไข้ต่ำๆ อาการอ่อนเพลีย อาการปากแห้งตาแห้ง
- เมื่อมีข้ออักเสบ ข้อจะสูญเสียหน้าที่การทำงาน ความสามารถในการเคลื่อนไหวข้อลดลง เมื่อข้อมีการอักเสบเป็นระยะเวลานานข้อจะถูกทำลาย และผิดรูป
- ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เมื่อมีอาการเต็มที่แล้วการให้การวินิจฉัยทำได้ไม่ยาก เนื่องจากผู้ป่วยจะมีข้ออักเสบหลายข้อ ส่วนใหญ่ในข้อเล็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มือและเท้า มีการกระจายของข้อที่อักเสบแบบเหมือนกันทั้ง 2 ข้าง ร่วมกับพบลักษณะข้อผิดรูป แต่ในระยะแรกผู้ป่วยอาจมีอาการนำได้หลายแบบซึ่งในบางครั้งทำให้ยากในการวินิจฉัย
โรคที่มีอาการเลียนแบบหรือคล้ายโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มีอะไรบ้าง?
โรคข้ออักเสบที่คล้ายโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ได้แก่
- โรคเอสแอลอี (SLE)
- โรคข้ออักเสบ SNSA
- โรคเก๊าท์
- โรคข้ออักเสบติดเชื้อ
- โรคข้ออักเสบที่พบร่วมกับโรคมะเร็ง
- โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน
ดังนั้นการตรวจทางห้องปฎิบัติการจึงมีความสำคัญในการแยกโรครูมาตอยด์ออกจากโรคอื่น
เพื่อใช้ในการวินิจฉัยโรค ใช้ประเมินความรุนแรงของโรค ใช้ในการประเมินผู้ป่วยก่อนพิจารณาเลือกใช้ยา ใช้ในการติดตามการตอบสนองต่อการรักษา และการติดตามผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการรักษา
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- ตรวจข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Factor)
- ตรวจข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Anti CCP)
- ตรวจการอักเสบในร่างกาย (ESR)
- ตรวจการอักเสบในร่างกาย (CRP)