โรค นิ่วในถุงน้ำดี เป็นโรคในระบบทางเดินอาหารที่สามารถเกิดขึ้นได้และอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายร้ายแรงถึงชีวิตหากไม่รีบรักษา ปัจจัยสำคัญของโรคนี้เกิดจาก “ความอ้วน” และพฤติกรรมการกิน ที่ส่งผลให้ระดับไขมันและคอเรสเตอรอลสูงเกินกว่าการทำงานของระบบน้ำดี คอเรสเตอรอลจึงสะสมจนกลายเป็นก้อนนิ่วในถุงน้ำดีขึ้นได้ ส่วนใหญ่มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า โดยพบได้ตั้งแต่อายุ 30 – 50 ปี ความน่าสนใจของโรคนี้คือ ผู้ป่วยที่มีอาการส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารจึงหายามารับประทานเอง จนกระทั่งอาการรุนแรงจึงมารับการรักษา เพราะฉะนั้นการรู้ทันโรคนิ่วถุงน้ำดีจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย
หน้าที่ของ ถุงน้ำดี คืออะไร?
ถุงน้ำดี (Gallbladder) คือ อวัยวะบริเวณช่องท้องที่ทำหน้าที่ในการกักเก็บน้ำดี ทำให้น้ำดีเข้มข้นเพื่อพร้อมสำหรับย่อยไขมัน ถุงน้ำดีไม่ได้ทำหน้าที่ผลิตน้ำดีโดยตรง แต่จะรับน้ำดีที่ผลิตจากตับมาเก็บไว้ช่วงที่เรายังไม่ได้รับประทานอาหาร ดังนั้นการที่เราไม่มีถุงน้ำดีไม่ได้ทำให้เราขาดน้ำดีอย่างที่เข้าใจกันแต่อย่างใด
โรค นิ่วในถุงน้ำดี คืออะไร? และมีกี่ประเภท?
นิ่วในถุงน้ำดี (Gall Stone) เป็นโรคในระบบทางเดินน้ำดีที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการตกตะกอนของหินปูนหรือคอเลสเตอรอลในน้ำดี ทำให้เกิดนิ่ว โดยลักษณะนิ่วมี 3 ประเภท ได้แก่
- นิ่วจากคอเลสเตอรอล (Cholesterol Stones) อาจเป็นสีเหลือง ขาว เขียวเกิดจากการตกตะกอนไขมัน เนื่องจากคอเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้นในถุงน้ำดี
- นิ่วจากเม็ดสี (Pigment Stones) อาจเป็นสีคล้ำดำ เกิดจากความผิดปกติของเลือด โลหิตจาง ตับแข็ง
- นิ่วโคลน (Mixed Gallstones) เป็นคล้ายโคลน เหนียว หนืด เกิดจากการติดเชื้อใกล้ตับ ท่อน้ำดี ตับอ่อน
นิ่วในถุงน้ำดี เกิดจากอะไร?
นิ่วในถุงน้ำดีสาเหตุมาจากการตกผลึกของแคลเซียมหรือหินปูน คอเลสเตอรอล และบิลิรูบินในน้ำดี โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดการตกผลึกมาจากทางเดินน้ำดีเกิดการติดเชื้อและส่วนประกอบคอเลสเตอรอลและบิลิรูบินในน้ำดีขาดสมดุล เมื่อตกผลึกทำให้เกิดนิ่วลักษณะเป็นก้อน อาจเป็นก้อนเดียวหรือก้อนเล็ก ๆ หลายก้อน ซึ่งนิ่วในถุงน้ำดีที่พบบ่อยที่สุดเกิดจากคอเลสเตอรอล แสดงถึงพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มีผลต่อนิ่วถุงน้ำดีโดยตรง

คลอเลสเตอรอลในเลือดสูงเกี่ยวข้องอย่างไรกับการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
ไขมันส่วนเกินเป็นตัวการกระตุ้นให้เกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้เร็วขึ้น สาเหตุจากพฤติกรรมการกินที่เมื่อร่างกายได้รับไขมันเข้าไปในปริมาณที่สูง ขณะที่ตับที่ทำหน้าที่ผลิตน้ำดีออกมาสลายไขมันได้ไม่เพียงพอ ทำให้ไขมันส่วนหนึ่งที่ย่อยสลายไม่ทันนั้นต้องตกตะกอนอยู่ภายในถุงน้ำดี จนจับตัวเป็นก้อนนิ่วตามมา รวมถึงภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกินมาตรฐาน ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดี เพราะมีระดับคอเรสเตอรอลสูง
ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี?
- ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน มีไขมันชนิดคลอเลสเตอรอลสูงทำให้ถุงน้ำดีสลายไขมันไม่ทัน การบีบตัวของถุงน้ำดีลดลง อาจเกิดนิ่วชนิดคอเรสเตอรอลในถุงน้ำดีได้
- ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เมื่ออายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญพัง ส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลในน้ำดีมากขึ้นได้
- การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ระบบเผาผลาญพัง ทำให้ร่างกายละลายไขมันมากเกินไป
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีระดับไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
- ผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย โลหิตจาง
- การกินยาคุมกำเนิด
- ตั้งครรภ์หลายครั้ง
- การกินฮอร์โมนจากภาวะหมดประจำเดือน
- พันธุกรรม มีประวัติคนในครอบครัว
อาการนิ่วในถุงน้ำดี
- ท้องอืด
- แน่นท้อง อาหารไม่ย่อยหลังทานอาหารไขมันสูง เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง
- ปวดใต้ลิ้นปี่ / ชายโครงด้านขวา
- คลื่นไส้อาเจียน (ถุงน้ำดีติดเชื้อ)
- มีไข้หนาวสั่น
- ซ่าน / ตัว – ตาเหลือง (เมื่อก้อนนิ่วอุดในท่อน้ำดี)
- ปัสสาวะสีเข้ม (เมื่อก้อนนิ่วอุดในท่อน้ำดี)
- อุจจาระสีขาว (เมื่อก้อนนิ่วอุดในท่อน้ำดี)
ลักษณะสำคัญของอาการจากนิ่วในถุงน้ำดีคือ อาการมักเกิดหลังรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง มักมีอาการมากหลังอาหารมื้อเย็นหรือตอนกลางคืน
ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีได้อย่างไร?
- เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ เลี่ยงของมันและของทอด
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงการอดอาหารนานๆ หรือการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
- ตรวจเลือด/สุขภาพประจำปี
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
แนะนำรายการตรวจเลือดที่เกี่ยวข้องกับการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
- ระดับน้ำตาลในเลือด : Blood Sugar และ HbA1C
- ตรวจชุดไขมันในเลือด : Cholesterol ,Trigkyceride , HDL และ LDL
- ตรวจการทำงานของตับ : Liver Function test
- ตรวจสารบ่งชี้มะเร็งถุงน้ำดีและตับอ่อน : CA 19-9