โรค หลอดเลือดหัวใจตีบตัน คืออะไร?
โรค หลอดเลือดหัวใจตีบตัน เป็นอีกหนึ่งโรคที่มีความรุนแรง และสามารถทำให้เสียชีวิตได้ โดยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่ทำให้เสียชีวิตมากเป็นอันดับสองรองลงมาจากโรคมะเร็ง หากรู้ตัวว่าเป็นแล้วต้องมีการดูแลตนเองเป็นอย่างดี เพื่อยืดอายุของคนไข้ให้ยาวนานขึ้น ด้วยการปรับพฤติกรรมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากกระทำได้อย่างเหมาะสมก็จะสามารถต่อเวลาชีวิตออกไปได้
ในช่วงหลายสิบกว่าปีที่ผ่านมา คนไทยมีแนวโน้มของการเสียชีวิตด้วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน และเป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยในปัจจุบัน นอกจาก จะเกิดจากจากกรรมพันธุ์แล้ว พฤติกรรมในการใช้ชีวิต(lifestyle)การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนเเปลงไป ดังเช่น พฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปโดยส่วนใหญ่ชอบทานอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ออกกำลังกายน้อยลง มีภาวะความเครียดมากขึ้น และการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น หากรู้ตัวว่าเป็นแล้วต้องดูแลตนเอง ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตใหม่ ให้สุขภาพดี เเละสามารถยืดอายุให้ยาวนานขึ้น
สาเหตุหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตันเกิดจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ แข็งตัว หรือมีไขมันไปเกาะผนังของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแดงตีบแคบลง ปริมาณเลือดแดงผ่านได้น้อย เป็นผลทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และหากหลอดเลือดแดงตีบแคบมากจนอุดตัน จะทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้
ปัจจัยเสี่ยงคุมไม่ได้
- อายุที่มากขึ้นมีโอกาสเป็นเพิ่มขึ้น
- เพศชายมีโอกาศมากกว่าเพศหญิง หากในวัยหมดประจำเดือนเพศหญิงมีโอกาสเป็นเท่ากับเพศชาย
- พันธุกรรม
ปัจจัยเสี่ยงควบคุมได้
- โรคความดันโลหิตสูง : การปล่อยให้ความดันโลหิตสูงอยู่เป็นเวลานาน ๆ จะทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดมาเลี้ยงร่างกาย กล้ามเนื้อหัวใจจะหนาขึ้น หัวใจจะโตขึ้น หลอดเลือดตีบแข็งและอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย และนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวในที่สุด
- การสูบบุหรี่ : ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 2 – 4 เท่า เนื่องจากสารที่อยู่ภายในบุหรี่จะทำให้เซลล์ที่เยื่อบุผนังหลอดเลือดเสื่อม ทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน ซึ่งนำไปสู่สภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย
- ระดับไขมันในเลือด : ผู้ที่มีระดับไขมัน LDL คอเลสเตอรอลสูงจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูงขึ้น ไขมันชนิด LDL นี้ทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้นและหลอดเลือดตีบแคบลง เลือดไหลเวียนน้อยลง ในที่สุดหลอดเลือดหัวใจก็อุดตันและเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย
- โรคเบาหวาน : ทำให้มีความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดและหัวใจสูงขึ้น เบาหวานทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ เสื่อมลง
- การขาดการออกกำลังกาย : การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจได้ และช่วยควบคุมปัจจัยความเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ความดันโลหิต ระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือด เบาหวาน และน้ำหนักที่มากเกินหรืออ้วน
- ความอ้วน : ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 30 กิโลกรัม / ส่วนสูง (เมตร)2 ถือว่ามีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดและหัวใจ โดยสามารถคำนวณดัชนีมวลกายได้จากน้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (หน่วยเป็นเมตร) ยกกำลัง 2 หรือหากมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ร่วมด้วย แม้มีดัชนีมวลกายตั้งแต่ 25 กิโลกรัม / (เมตร)2 ก็ถือว่ามีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเพิ่มขึ้น
อาการหลอดเลือดหัวใจตีบและตัน
- ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ แต่ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตันค่อนข้างมากจะมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างมากจนทนไม่ได้ เหมือนมีอะไรหนัก ๆ กดทับตรงกลางหน้าอก หรือการเจ็บจากหน้าอกขึ้นไปถึงคาง หรือเจ็บลงไปถึงแขนซ้าย
- หายใจหอบ เหนื่อย อึดอัด หายใจเข้าไม่เต็มปอด
- เหงื่อแตกใจสั่น
- หน้ามืดเวียนศีรษะ เป็นลม เนื่องจากความดันโลหิตต่ำเฉียบพลัน
- หมดสติ หัวใจหยุดเต้น (Heart Attack)
การดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเเละตัน
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหวาน เค็มจัด และมีไขมันไม่อิ่มตัว
- ทานอาหารให้เหมาะสมกับปริมาณพลังงานที่ต้องการในแต่ละวัน รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น มีไขมันน้อย
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 3 วัน/สัปดาห์
- ไม่สูบบุหรี่
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
- ลดความเครียด
- ควบคุมน้ำหนัก
- ตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง คลิกที่นี่ (เพื่อดูรายละเอียดโปรเเกรม)