ความเสี่ยงต่อ โรคหัวใจตีบตัน จากภาวะ ไขมันในเลือดสูง
ไขมันต่างชนิด ส่งผลต่อสุขภาพต่างกัน
ปัจจุบันคนไทยเริ่มหันมาใส่ใจ ดูแลสุขภาพ กันมากขึ้น เพราะ การดูเเลสุขภาพ คือ การชะลอความเสื่อมของเซลล์ รู้ทันก่อนเจ็บป่วย เเละยัง ชะลอวัย ด้วย การดูเเลสุขภาพ ดังเช่นการเลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ (ให้ครบอาหารหลัก 5 หมู่) เสริมด้วยอาหารเสริมสุขภาพ (วิตามิน เเละ เเร่ธาตุ ต่างๆ) การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ (อย่างน้อย 8 ชม.) ทำจิตใจให้เบิกบานไม่เครียด
ภาวะ ไขมันในเลือดสูง ก็เป็นสาเหตุให้เกิดหลายโรคตามมา โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับ หลอดเลือดหัวใจ และ หลอดเลือดสมอง ดังนั้นเราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ “ภาวะไขมันในเลือดสูง”
ภาวะไขมันในเลือดสูง คืออะไร?
ภาวะ ไขมันในเลือดสูง คือภาวะที่ร่างกายมีระดับไขมันในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ปกติ โดยอาจมีความผิดปกติทั้งไขมัน “คอเลสเตอรอล” และ “ไตรกลีเซอไรด์” ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เส้นเลือดตีบ อุดตัน โรคหลอดเลือดสมอง หรือเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้ไม่มีดีพอ รวมถึงความดันโลหิตสูงได้ โรคอ้วนลงพุง (อ่านบทความ โรคอ้วนลงพุง คลิกที่นี้) เเละ ไขมันพอกตับ ด้วย
คลอเรสเตอรอล คืออะไร
คอเลสเตอรอล เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้น ทำหน้าที่ช่วยสังเคราะห์ฮอร์โมนและเป็นส่วนหนึ่งของเยื่อบุเซลล์ คลอเลสเตอรอล ส่วนใหญ่ถูกสังเคราะห์ขึ้นจากตับ บางส่วนพบอยู่ในอาหารที่เรารับประทาน (ประมาณ 30%) ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเอง(ประมาณ 70%)
ซึ่งคลอเลสเตอรอลยังเกิดจากไขมันชนิดอิ่มตัว ถ้าอาหารที่รับประทานมีไขมันชนิดอิ่มตัวสูงจะทำให้ปริมาณคลอเลสเตอรอลในร่างกายเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน
ชนิดของ ไขมันในเลือด
คลอเรสเตอรอล (Cholesterol)
เนื่องจากคอเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถละลายอยู่ในกระแสเลือดได้โดยลำพัง ต้องอาศัยการรวมตัวกับโปรตีนจึงจะอยู่ในกระแสเลือดได้ การรวมตัวระหว่างไขมันและโปรตีนนี้เราเรียกว่า ไลโพโปรตีน (Lipoprotein) มี 2 ชนิด คือ
- HDL (High Density Lipoprotein) เป็นไลโพโปรตีนที่มีความหนาแน่นสูง
- LDL (Low Density Lipoprotein) เป็นไลโพโปรตีนที่มีความหนาแน่นต่ำ
- HDL ทำหน้าที่นำคลอเลสเตอรอลส่วนเกินส่งไปทำลายที่ตับเราจึงเรียก HDL ว่าเป็นคลอเลสเตอรอลชนิดดี
- LDL ทำงานตรงข้ามกับ HDL คือ ทำให้แผ่นหรือคราบของไขมันเกาะพอกอยู่ในหลอดเลือดแดง เราจึงเรียก LDL ว่าคลอเลสเตอรอลผู้ร้าย
คอเลสเตอรอลทั้ง 2 ชนิดนี้หากมีอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันโรคหัวใจได้
ระดับ คลอเรสเตอรอล ที่ปกติ
การตรวจวัดระดับคอเลสเตอรอลสามารถทำได้โดยการเจาะเลือด ปริมาณระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดที่ควรมี
- คลอเลสเตอรอลรวม ต่ำกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
- LDL คอเลสเตอรอล ต่ำกว่า 130 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
- HDL คอเลสเตอรอล ผู้ชาย สูงกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ผู้หญิง สูงกว่า 55 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)
ไตรกลีเซอไรด์ เป็นไขมันในเลือดอีกประเภทหนึ่ง ได้จากอาหารอาหารประเภทเเป้ง น้ำตาล เเละการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งทานปริมาณมากเกินไป เเป้งเเละน้ำตาลก็จะไปสะสมที่ใต้ผิวหนังช่องท้อง ทำให้ลงพุง และไปสะสมที่อวัยวะต่างๆโดยเฉพาะตับ เกิด “ภาวะไขมันพอกตับ (liver lipid)” ซึ่งมีโอกาสกลายเป็นตับเเข็งเเละเป็นมะเร็งตับ เเละระดับของไตรกลีเซอไรด์ในเลือดควรต่ำกว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ปัจจัยที่ทำให้ระดับไขมันในเลือดสูง
- การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เช่น อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวที่พบในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ และ ไขมันทรานส์ ที่พบในคุกกี้ เบเกอรี่ เนื้อแดง และผลิตภัณฑ์จากนมไขมันครบส่วน จะเพิ่มระดับคอเลสเตอรอล
- โรคอ้วน คือ คนที่มีดัชนีมวลกาย (body mass index: BMI) ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปจะเสี่ยงต่อการมีคลอเลสเตอรอลสูง
- ขาดการออกกำลังกาย การออกกำลังกายช่วยเพิ่ม HDL ในร่างกายหรือคอเลสเตอรอลชนิดดี
- สูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ทำลายผนังหลอดเลือดทำให้มีแนวโน้มที่จะสะสมไขมัน การสูบบุหรี่อาจทำให้ระดับ HDL ลดลง
- อายุ เมื่ออายุมากขึ้นจะมีความเสี่ยงต่อการมีคอเลสเตอรอลสูงเพิ่มขึ้น ตับจะกำจัด LDL คอเลสเตอรอลได้น้อยลง
- โรคเบาหวาน น้ำตาลในเลือดสูงทำให้ระดับคลอเลสเตอรอลที่เป็นอันตราย LDL สูงขึ้น และ HDL ลดลง น้ำตาลในเลือดสูงยังทำลายเยื่อบุหลอดเลือดเเดงด้วย
คลอเลสเตอรอลในเลือดสูงอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ รวมถึงน้ำหนักตัว ชนิดอาหารที่รับประทาน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคและเลือกรับประทานอาหารที่มีสัดส่วนเหมาะสมจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้
- การลดน้ำหนัก :น้ำหนักตัวที่เหมาะสมจะทำให้ปริมาณไขมันในร่างกายลดน้อยลงซึ่งมีผลต่อระดับคลอเรสเตอรอลลดลงเช่นกัน มาตรฐานน้ำหนักตัวที่เหมาะสมสามารถชี้วัดได้จากค่าดัชนีมวลกาย(BMI) ควรมีค่าน้อยกว่า 23
- วิธีหาดัชนีมวลกาย คือ น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)/ส่วนสูงเป็นเมตร2)
- เส้นวัดรอบเอวชายไม่เกิน 90 เซนติเมตร (35.4 นิ้ว) หญิงไม่เกิน 80 เซนติเมตร (31.4 นิ้ว)
- ลดการรับประทาน ไขมันอิ่มตัว (Saturated fatty acid) เพราะไขมันอิ่มตัวจะทำให้เกิดคลอเลสเตอรอลเพิ่มสูงขึ้นในร่างกายได้
- กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated fatty acid) คือ ไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่พบในเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนื้อวัวติดมัน เนื้อแกะ เนื้อหมู (รวมถึงเบคอนและแฮม) เนื้อไก่ที่มีหนัง ไขมันวัว (tallow) น้ำมันหมู ครีม เนย ชีส และผลิตภัณฑ์จากนมไขมันเต็มส่วน หรือพร่องมันเนย เเละไขมันจากพืช เช่น กระทิ น้ำมันปาล์ม
- ควรเลือกรับประทานอาหารประเภท กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated fatty acid)
- กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated fatty acid) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ไขมันประเภทนี้จะมีลักษณะเป็นของเหลวเมื่ออยู่ในอุณหภูมิห้อง และกลายเป็นของแข็งเมื่ออุณหภูมิต่ำลง พบมากใน น้ำมันมะกอก น้ำมันงา หรือ น้ำมันดอกคำฝอย อะโวคาโด ปลาที่มีกรดไขมันอย่างทูน่า แมคเคอเรล หรือแซลมอน และถั่วหรือเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวนี้ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลไม่ดี(LDL) ลดความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง
- ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน พบในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันทานตะวัน ถั่วและเมล็ดพืชต่าง ๆ หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ไขมันประเภทนี้ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลไม่ดี(LDL)ในเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง ให้สารอาหารที่เสริมสร้างเซลล์ในร่างกาย และทำให้ได้รับกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายผลิตเองไม่ได้ เช่น โอเมก้า 6 (OMEGA 6) และ โอเมก้า 3 (OMEGA 3) การบริโภค กรดไขมันไม่อิ่มตัว เชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน จะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์มากกว่าบริโภค ไขมันอิ่มตัว หรือ ไขมันทรานส์ (Trans fat)
- กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated fatty acid) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- เลือกรับประทานอาหารที่ เพิ่มคลอเรสเตอรอล เช่น รับประทานปลาทะเล (ทูน่า ปลาทู แซลมอน ซาร์ดีน ฯลฯ) อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ข้าว แป้ง และธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท รวมถึงถั่วเมล็ดแห้ง งาดำ พริก รับประทานผักและผลไม้
- การออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวันหรืออย่างน้อย 3 วัน/สัปดาห์ ประมาณ 30 นาที/วัน เช่น การวิ่ง(jogging) เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักยาน สามารถควบคุมไขมันได้ระดับหนึ่ง
- งดสูบบุหรี่ และ ลดการดื่มแอลกอฮอล์
การป้องกัน การเกิดโรค ไขมันในเลือดสูง
การป้องกันการเกิดโรค ไขมันสูง คือการที่เราต้องรู้ว่า ไขมันในเลือดของเรานั้นอยู่ในระดับใด และมีไขมันแต่ละชนิดมากน้อยเพียงใด เพราะไม่ใช่ไขมันทุกชนิดที่จะเป็นโทษต่อร่างกาย
ฉะนั้น “การตรวจสุขภาพ” เพื่อให้ทราบปริมาณไขมันแต่ละชนิดอย่างสม่ำเสมอ คือสิ่งจำเป็น
- หากมีอายุมากกว่า 35 ปี ควรตรวจเลือดเพื่อตรวจเช็คระดับไขมันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- หากครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ควรตรวจเลือดทุกๆ 6 เดือน
ทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราเอง หากเราใส่ใจสุขภาพและรู้จักป้องกันความเสี่ยง โอกาสที่จะเกิดโรคก็ลดลง ทำให้มีความสุขในการใช้ชีวิตได้อย่างยาวนานขึ้นได้