น้ำ เป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกาย ประมาณ 60% ของน้ำหนักตัว ทำหน้าที่สำคัญต่ออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบไหลเวียนเลือด และช่วยในการขับเคลื่อนนำส่งของเสียไปขับออกที่ไต ดังนั้นเมื่อมีการขาดน้ำจึงทำให้รบกวนกระบวนเหล่านี้ การขาดน้ำในปริมาณเล็กน้อยอาจทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย แต่หากขาดน้ำรุนแรงอาจทำให้การทำงานของไตลดลง และรบกวนการทำงานตามปกติของอวัยวะอื่น ๆ
ประโยชน์ของ การดื่มน้ำ
เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ของของเหลวในร่างกาย และมีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่
- เป็นส่วนประกอบของเลือดที่ช่วยในการขนส่งออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงร่างกายเป็นไปอย่างเป็นปกติ
- ทำให้อุณหภูมิของร่างกายเป็นปกติ
- ลดอาการท้องผูก ช่วยในการเคลื่อนไหวของสำไส้
- ป้องกันการเกิดนิ่ว
- ทำให้ร่างกายสามารถขับของเสียออกทางเหงื่อและทางไตได้ตามปกติ
- ช่วยหล่อลื่นกระดูกข้อต่อ และไขข้อต่าง ๆ
ร่างกายจะมีความต้องการน้ำเพิ่มขึ้นในภาวะต่าง ๆ ดังนี้
- ในสภาพอากาศร้อน
- มีการทำงานหรือออกกำลังกาย
- มีอาการไข้
- มีอาการท้องเสีย หรืออาเจียน
การดื่มน้ำ มีผลต่อไตอย่างไร?
- ช่วยให้ไต ขับของเสียได้เป็นปกติ : ไตต้องกรองเลือดมากถึง 140-170 ลิตรต่อวัน และผลิตปัสสาวะเพื่อขับของเสียต่าง ๆ ทิ้งเป็นปริมาณ 1-2 ลิตร ต่อวัน น้ำจึงเป็นองค์ประกอบช่วยให้ไตสามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้ตามปกติ และน้ำยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบไหลเวียนโลหิตเพื่อช่วยนำออกซิเจนและสารอาหารต่าง ๆ ไปเลี้ยงไตได้อย่างเพียงพอ
- ช่วยนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงไต
- ลดการเกิดนิ่วในไต
- ลดการติดเชื้อในทางเดินอาหาร
ปริมาณ การดื่มน้ำ ต่อวัน
โดยปริมาณน้ำดื่มที่เหมาะสมต่อวันในแต่ละบุคคลมีความแตกต่างตาม
- อายุ
- สภาพอากาศ
- การออกกำลังกาย
- การตั้งครรภ์
- การให้นม
- หรือเจ็บป่วย
โดยเฉลี่ย ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้ว/วัน (1-2.0 ลิตร/วัน)
อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยที่การทำงานของไตลดลงในระดับหนึ่งความสามารถในการขับน้ำของไตจะลดลง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตระยะท้ายหรือผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาทางไต อาจต้องมีการจำกัดการดื่มน้ำอย่างเคร่งครัด
ดื่มน้ำเยอะทำให้ ไตพังจริงหรือไม่?
การดื่มน้ำที่มากเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน เพราะหากดื่มน้ำมากกว่าความสามารถของไตจะขับน้ำออกได้ทัน จะทำให้
- สมดุลเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติไป (electrolyte imbalance) โดยมักจะพบภาวะที่มีโซเดียมในเลือดต่ำ (hyponatremia) อาจทำให้มีอาการผิดปกติของระบบประสาท กล้ามเนื้อ ปากซีดมือซีด
- หรืออาจมีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลียจากการที่ไตทำงานมากเกินไป และการหลั่งฮอร์โมนจากไตที่ผิดปกติ ซึ่งภาวะที่มีการดื่มน้ำเยอะเกินไปนี้อาจเกิดผลเสียต่อร่างกาย เช่น
ในนักวิ่งมาราธอนหรือไตรกีฬาที่ดื่มน้ำมากเกินไป เช่น มากกว่า 6-10 ลิตรด้วยความรวดเร็วอาจทำให้เกิดความผิดปกติของสมดุลเกลือแร่ในร่างกายได้และพบมีอาการชักหมดสติได้
ผู้ป่วยโรคไตบางระยะที่ไม่สามารถขับปัสสาวะไม่เพียงพอ การที่ไม่จำกัดการดื่มน้ำ หรือดื่มน้ำมากเกินไป จะทำให้เกิดเกลือแร่ในเลือดผิดปกติ และ บวมหายใจหอบเหนื่อย ดังนั้นผู้ป่วยโรคไตจึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อการแนะนำการดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม
การดื่มน้ำ ที่ถูกต้อง
ปริมาณน้ำที่เหมาะสมในแต่ละวันจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉลี่ย 8 แก้วต่อวัน หรือ 1.5 – 2 ลิตรต่อวัน ดื่มน้ำในปริมาณที่แนะนำควรแบ่งดื่ม
- ให้ครอบคลุมตลอดทั้งวัน
- น้ำที่ควรดื่มควรเป็นน้ำสะอาด
- อุณหภูมิปกติไม่ร้อนหรือเย็นจัด
- แต่ถ้าเป็นน้ำอุ่นควรอุ่น ๆ เล็กน้อย
- และดื่มในตอนเช้าเพื่อให้การขับถ่ายดีขึ้น
- การดื่มน้ำไม่ควรดื่มในปริมาณมาก ๆ พร้อม ๆ กันในครั้งเดียวเพราะอาจทำให้สมดุลเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติได้
เราสามารถสังเกตสีของปัสสาวะได้ว่าการดื่มน้ำเพียงพอหรือไม่ โดย
- สีของปัสสาวะควรใส ไม่ขุ่น หรือมีสีเหลืองเล็กน้อย
- หากปัสสาวะสีเข้มหรือขุ่นแสดงว่าร่างกายอาจกำลังอยู่ในภาวะขาดน้ำ จึงควรดื่มน้ำเพิ่มขึ้น
- และหากร่างกายอยู่ในภาวะที่ต้องการน้ำมากขึ้น เช่น ในสภาพอากาศร้อน การออกกำลังกาย อาเจียน ท้องเสีย เป็นไข้ สามารถเพิ่มการดื่มน้ำให้มากกว่าปกติได้
เพราะการดื่มน้ำของแต่ละคนไม่เหมือนกันจึงต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์และควรให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำเสมอเพื่อคงความสมดุลของชีวิตให้แข็งแรง
แหล่งอ้างอิง
พญ. บงกช สุรัติชัยกุล อายุรแพทย์์โรคไต โรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์